บทความของชีวิต
บทที่ 1 ความรู้สึกที่อยากเล่าให้ฟัง กับ การแยกทาง
^__^ ขอโทษที ไม่รู้จะแนะนำตัวอย่างไง หรือ จะเริ่มต้นอย่างไรดี (อันนี้เขิลก่อนเขียนคะ) ไงขอแนะนำและขออภัย เบื้องต้นไปก่อนนะคะ เราชื่อ หมูกี้ ชื่อตามบล็อกและตามที่พ่อตั้งให้ ไม่ได้เสริมปรุงแต่งอะไรเลย เรื่องจริงคะ 555
พอดีอยากเขียนบล็อก บล็อกหนึ่งขึ้นมา อยากเขียนมาตั้งนานแล้วหละ ตั้งแต่เล่นอินเตอร์เน็ตครั้งแรก แต่ไม่รู้จะเขียนอะไร ชีวิตประจำวันก็ไม่มีไร แค่คนปกติที่ขี้เกียด ชอบหรือไม่ชอบ แล้วก็เคยเขียนแนวกระทบทางด้านสังคมมาแล้ว แต่มันเป็นอารมณ์ล้วนๆ มากกว่าเหตุผล หรือ มากกว่าความคิด (ซึ่งผู้เขียนบล็อกมีความคิดในระดับผู้ใหญ่แล้วนะ ถึงจะไม่เท่ากะสังคมที่เป็นอยู่ แต่ก็เข้าใจโลกในระดับหนึ่งคะ^^ เป็นปลื้ม) ซึ่งก็คิดไปคิดมา แต่ก็คิดไม่ออกสักที จนได้อ่านข่าวมากมาย ได้ประสบการณ์จากชีวิตที่พบเจอ ได้ลองมองตัวเองมากขึ้น พยายามแก้ปัญหา และรับฟังการก้าวเดินตนเองมากขึ้น ก็เลยจะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา “บทความของชีวิต” ซึ่งอาจจะมีคนเขียนแล้วก็ไม่เป็นไร เราก็จะพยายามหาอ่านมันก็แล้วกัน ถือว่าแชร์ประสบการณ์กันไปนะ
ขออภัยกันต่อ เนื่องจากเขียนบล็อกจริงจังเป็นครั้งแรก อาจจะเขียนด้วยความคิดที่เป็นตัวเองมากไป หรือ อารมณ์มากไปสักเล็กน้อยถึงขั้นปานกลาง ก็อยากให้เข้าใจด้วยว่า นี้คือกระทู้ส่วนบุคคล และเราก็ทำในแง่คิด ก็คิดตามความถูกต้องในการเดินทางความคิดของแต่ละคนนะคะ ไม่อยากเป็นกระทู้ที่เห็นคนด่ากัน หรือ ตอแหลใส่กัน(อาจจะหยาบคายบ้าง ก็ขออภัย เพราะบางครั้งมันก็เหลืออดไปจริงๆ ก็เราไม่ได้เป็นคนดีอะไรมาก หรือเป็นคนของสังคมนิ แต่เราก็จะพยายามไม่หยาบจนเกินงามแน่นอนคะ) บางครั้งอาจจะมีภาษาวิบัติบาง เพราะ
1. ข้าพเจ้ายอมรับภาษาของข้าพเจ้าอ่อนแอมาก มากกกถึงขั้นมาก พูดไม่รู้เรื่อง กลับไปกลับมา และเขียนก็ไม่รู้เรื่อง ตกหล่นไปมาก ก็บอกกันด้วยนะ อย่าเพิ่งโมโหกันเลย ข้าพเจ้าก็กลัวเป็นเหมือนกัน
2. บางครั้งมันต้องมีลูกเล่นกันบางหละเนอะ จะเครียดทั้งบทความก็ตายพอดี
ถ้ามาวิจารณ์รับได้คะ ไม่ถือ ไม่โกรธ(หลังไมค์เจอกัน แค่นั้นจบ ^^ หลอกเด้อ) ขอร้องว่า อย่าหยาบก็พอคะ
คงมีเท่านี้หละที่แนะนำตัว ส่วนคนที่งงมาก กับคำว่า แยกทางกันอยู่นิมันเกี่ยวอะไร คือบทความนี้เป็นแค่เหตุผลและความคิดของผู้เขียน แต่ถ้าให้เป็นแนวคิดของใครๆบางคนหรือสักคนได้ ก็ดีใจด้วยนะ เพราะเราเองก็เจอเหตุการณ์แบบท่านมาก่อน แต่จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่บุคคลคะ อย่าถือสากันเลยนะคะ เราจะออกแนวสังคม และ ครอบครัวมากกว่า คือ มันเป็นอะไร ที่อยากให้คิดก่อนทำ หรือ ถ้าทำไปแล้วก็อยากให้คิดถึงจิตใจของคนข้างหลังบาง ซึ่งคำว่าแยกทางกันอยู่นิ เราอยากให้คนเข้าใจ 2 แบบ คือ
1. แบบพ่อแม่เข้าใจลูก
2. ลูกเข้าใจพ่อแม่
ถ้าอ่าน คุณก็เข้าใจมันเอง (ถ้าไม่ผิดเพี้ยน หรือคำตกหล่นไปซะก่อนนะ^^) เราขอเล่าเรื่อง การแยกทางกันอยู่ แบบพ่อแม่เข้าใจลูกก่อนนะ
คือ ถ้าหากคุณคบกันแล้ว แล้วมันไปไม่รอดจริงๆ สิ่งหนึ่งที่คุณต้องทบทวนก่อนคือ “ลูก” เขาจะเข้าใจไหม ถ้าหากวันหนึ่ง เขากลับมาแล้วไม่พบพ่อแม่เขาอยู่ด้วยกันอีกต่อไป ต้องกินข้าวกับคนใดคนหนึ่ง หรือ พูดคุยกะคนใดคนหนึ่ง และถ้าหากคุณมีครอบครัวใหม่ คนที่จะมาแทนพ่อแม่เขา จะรักเขาหรือเปล่า จะรับเขาได้ไหม จะให้ความรักกะเขาได้ไหม ไม่ต้องมากมาย แค่ไม่ทำร้ายจิตใจเขาก็พอ คุณเคยคิดถึงจุดนั้นหรือเปล่าก่อนที่จะหย่ากัน ตอนนั้น จะมีพ่อแม่คนไหนเคยคิดตรงจุดนั้นได้หรือเปล่า (สงสัยมานานแล้วหละ ที่บอกว่ารัก ลูก นิ พ่อแม่ที่หย่าแล้วมีครอบครัวใหม่ เขารักลูกกันอย่างไงในความคิดของแต่ละคน)
ซึ่งแน่นอนว่าคุณอาจจะคิดไม่ได้สักส่วนใหญ่... ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยคิดกันเลยมากกว่า และปัญหาที่เกิดขึ้น เด็กมันจะคิดว่า ทำไมพ่อแม่เป็นอย่างนี้ ไม่รักเขาแล้วหรอ ทิ้งเขาไปทำไม มากมายความคิด ซึ่งตอนนั้นเราก็เคยเจอเหตุการณ์อย่างนั้นเหมือนกัน ความคิดเรา คือ ต้องเป็นเด็กปัญหา มันต้องเหมือนละครแน่นอน แต่สุดท้าย ก็ไม่เป็น 555 เอาไว้ต่อคราวหลัง นอกเรื่องไปแล้ว ซึ่งถ้าคุณเป็นคนอธิบายสาเหตุได้ ถือว่าเด็กคนนั้นโชคดีไป แต่ถ้าคุณหย่าไปแล้ว แล้วเกิดอาการข้างเคียง เช่น ด่าทอลูกอย่างนั้นอย่างนี้ เอาอารมณ์ของตนเองมาว่ามาใส่ลูก ซึมเศร้า เด็กมันก็จะคิดมาก แน่นอน ถ้าหากได้ดูข่าวสารตามหนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต ที่ว่าเด็กแว๊น สก๊อย เด็กตีกัน หรือ ขายบริการ อะไรสารพัดของเด็กอ่า สังเกตดูได้มันมาจากพื้นฐานของครอบครัว แล้วเด็กจะโดนด่าอย่างแรกคือ ไอ้/อี ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน อย่างโน้นอย่างนี้ พ่อแม่อย่างโน้นอย่างนี้ หาคำมาด่าจนได้ เผลอๆ เด็กยังไม่ได้ทำไรเลย พูดจาประณาม เสียดสีเด็กก็มี มันอีลุงตุงนังไปหมด แม่เจ้า ใครจะรับไว้ เด็กนะเนี้ย เด็กบางคนมันจะคิดอะไรได้นอกจาก คำถามว่า “ทำไม” สุดท้ายถ้ามันหาแก้ได้ โดยรอดจากสังคมที่สภาพแวดล้อมไม่ดีนั้น มันก็คือ บทเรียนอย่างหนึ่ง(ซึ่งถ้าผ่านไปได้ ก็โปรดอย่างทำสันดานอย่างที่คนอื่นได้ทำกับคุณมาใส่คนอื่นนะคะ คุณเองก็ไม่ชอบแล้วคิดไหมว่า ใครจะชอบได้) แต่ถ้ามันผ่านไม่ได้ เหตุการณ์ที่มันจะเจอ ก็คือ เกะกะสังคมจริงๆเลย ใช่ไหม หนักแผ่นดินบางหละ ซึ่งไม่มีใครรู้หรอก พื้นฐานเขามาจากไหน เจออะไรมาบ้าง ซึ่งคนเราแน่นอนต่างความคิด ใครจะคิดได้เหมือนกันทั่วโลก หละ ต้องเข้าใจจุดนี้ด้วย ทั้งพ่อแม่ และคนที่ไม่ใช่พ่อแม่ หรืออะไรก็ตาม ที่สังคมเปลี่ยน เทคโนโลยีไม่ได้ทำให้สังคมเปลี่ยนหรอก แต่จิตใจคุณมากกว่า ที่เป็นจุดเปลี่ยนให้มันเสื่อมไปเอง
บทความเรื่องนี้ก็ไม่รู้จะเขียนไรต่อ เพราะว่าตามแนวคิดของเราเอง ที่เราได้พบเจอมาและประสบการณ์นั้น ก็สรุปได้เท่านี้ ครั้งหน้า เราจะให้แง่คิดถ้าหากในการหย่า หรือ แยกทางกัน จะมีข้อประนีประนอมกันได้ไหม ถ้าไม่ได้จะต้องพร้อมกับอะไรบาง เราไม่ได้เป็นนักจิตวิทยา หรือ จิตแพทย์ ก็บอกแล้วว่าเขียนด้วย เหตุผลและความคิดของตัวเอง อย่างไงก็ขออภัยด้วยนะคะ ถ้าหากไม่ชอบอะไร ถ้าบทความยาวไป ขี้เกียดอ่านจะพยายามเขียนให้พอประมาณ และแก้ไขให้ดีขึ้นคะ
สุดท้ายเรื่องเล่า และ อยากให้เอาไปคิดนะคะ คือเรื่องนี้เพื่อนของเราเล่าให้ฟังอ่า ถ้าเจ้าของมาอ่าน เราก็ขอโทษนะ ที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน เพราะเรื่องนี้ก็แรงเหมือนกันเลยอยากเอามาเป็นข้อคิด
เรื่องมีอยู่ว่า แม่เขาแต่งงานใหม่ แน่นอนก็ต้องมีลูกที่เกิดมาจากพ่อใหม่ แต่คนละพ่อ แม่คนเดียวกัน เขาเคยถูกพ่อเลี้ยงจับกดน้ำเหมือนจะเอาให้ตาย แค่เด็กไม่กรอกน้ำ หนีไปเที่ยวตามงานวัด เด็กประมาณป.2เท่านั้นเองนะ และขังในห้องน้ำ แต่โชคยังดีที่แม่เขาเข้ามาทัน แต่ไม่รู้เหตุการณ์ว่าลูกโดนจับกดน้ำ และถ้าถามว่ารู้ได้ไงว่าพ่อเลี้ยงไม่รักเขา ลืมบอกไป ตอนนั้นพ่อเลี้ยงเขาอยู่อาการมึนเมาด้วย ก็พอจะรู้ได้ในสิ่งต่างๆที่เขาได้รับ ทั้งเรื่องการศึกษา และ ความอบอุ่น คือเขาต้องเสียสละทุกอย่างทั้งๆที่พอจะเลี้ยงดูเขาได้เท่าน้องของเขา อยากให้คิดว่า ถ้าเกิดเป็นคุณบ้างจะทำอย่างไร ถ้าเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้ คิดในแง่ของพ่อเลี้ยงและเด็กที่โดนกระทำนะ ลองดูมันจะสนุกมาก ให้คิดเป็น 2 แง่นะ อันที่สอง ถ้าเขาเสียสละแล้วชีวิตเขาตกต่ำขึ้นมา น้องเขาจะช่วยเขาไหม ในเมื่อพ่อยังไม่สนใจเขาเลย และที่เขาต้องเสียสละ ถ้าเป็นคุณจะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ
โปรดติดตามครั้งหน้านะ ^^ เหมือนซีรีย์เลยเนอะ 555
ติดตามอยู่นะครับ รอผลงาน การเขียนเรื่องราวต่อไปนะครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ คุ๊กกี๊ +
ตอบลบ